หลักการใช้
Tense ทั้ง 12
Tense
Tense
คือรูปแบบ(หรือโครงสร้าง)ของกริยา ที่แสดงให้เราทราบว่า การกระทำหรือเหตุการ
นั้นๆเกิดขึ้นเมื่อใด ซึ่งเรื่อง
tense นี้เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราใช้
tense ไม่ถูก เราก็จะสื่อภาษากับเขา
ไม่ได้ เพราะในประโยคภาษาอังกฤษนั้นจะอยู่ในรูปของ
tense เสมอ ซึ่งต่างกับภาษาไทยที่เราจะมีข้อความบอกว่าาเกิดขึ้นเมื่อใดมาช่วยเสมอ
แต่ภาษาอังกฤษจะใช้รูป tense นี้มาเป็นตัวบอก
ดังนี้การศึกษาเรื่อง tense จึงเป็นเรื่องจำ
เป็น.
Tense
ในภาษาอังกฤษนี้จะแบ่ง ออกเป็น 3 tense ใหญ่ๆคือ
1. Present
tense ปัจจุบัน
2. Past
tense
อดีตกาล
3. Future
tense อนาคตกาล
ในแต่ละ
tense ยังแยกย่อยได้ tense ละ
4 คือ
1 . Simple tense ธรรมดา(ง่ายๆตรงๆไม่ซับซ้อน).
2. Continuous tense กำลังกระทำอยู่(กำลังเกิดอยู่)
3. Perfect tense สมบูรณ์(ทำเรียบร้อยแล้ว).
4. Perfect continuous tense สมบูรณ์กำลังกระทำ(ทำเรียบร้อยแล้วและกำลัง ดำเนินอยู่ด้วย).
โครงสร้างของ Tense ทั้ง
12 มีดังนี้
Present Tense
[1.1] S + Verb 1 + ……(บอกความจริงที่เกิดขึ้นง่ายๆ
ตรงๆไม่ซับซ้อน).
[Present]
[1.2] S + is, am, are + Verb 1
ing + …(บอกว่าเดี๋ยวนี้กำลังเกิดอะไร อยู่).
[1.3] S + has, have + Verb 3
+ ….(บอกว่าได้ทำมาแล้วจนถึง ปัจจุบัน).
[1.4] S + has, have + been +
Verb 1 ing + …(บอกว่าได้ทำมาแล้วและกำลังทำ ต่อไปอีก).
Past Tense
[2.1] S + Verb 2 + …..(บอกเรื่องที่เคยเกิดมาแล้วใน
อดีต).
[Past]
[2.2] S + was, were + Verb 1 +…(บอกเรื่องที่กำลังทำอยู่ในอดีต).
[2.3] S + had + verb 3 + …(บอกเรื่อที่ทำมาแล้วในอดีตใน ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
[2.4] S + had + been + verb 1
ing + …(บอกเรื่องที่ทำมาแล้วอย่างต่อ เนื่องไม่หยุด).
Future Tense
[3.1] S + will, shall + verb 1 +….(บอก เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต).
[Feature]
[3.2] S + will, shall + be + Verb 1
ing + ….(บอกว่าอนาคตนั้นๆกำลังทำอะไร อยู่).
[3.3] S + will,s hall + have + Verb
3 +…(บอกเรื่องที่จะเกิดหรือสำเร็จ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
[3.4] S + will,shall + have +
been + verb 1 ing +.. ..(บอกเรื่องที่จะทำอย่างต่อเนื่องในเวลาใด
- เวลาหนึ่งในอนาคตและ จะทำต่อไปเรื่อยข้างหน้า).
หลักการใช้แต่ละ tense มีดังนี้
[1.1] Present simple tense
เช่น He walks. เขาเดิน,
1. ใช้กับ เหตุการที่เกิดขึ้นตามความจริงของธรรมชาติ และคำสุภาษิตคำ พังเพย.
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริงในขณะที่พูด (ก่อนหรือหลังจะไม่จริงก็ตาม).
3. ใช้กับกริยาที่ทำนานไม่ได้ เช่น
รัก, เข้าใจ, รู้
เป็นต้น.
4. ใช้กับการกระทำที่คิดว่าจะเกหิดขึ้นในอนาคตอันใกล้(จะมีคำวิเศษณ์บอกอนาคตร่วมด้วย).
5. ใช้ในการเล่าสรุปเรื่องต่างๆในอดีต เช่นนิยาย
นิทาน.
6. ใช้ในประโยคเงื่อนไขในอนาคต ที่ต้นประโยคจะขึ้นต้น
ด้วยคำว่า If (ถ้า),
unless (เว้นเสียแต่ว่า),
as soon as (เมื่อ,ขณะที่),
till (จนกระทั่ง) , whenever
(เมื่อไรก็ ตาม), while (ขณะที่) เป็นต้น.
7. ใช้กับเรื่องที่กระทำอย่างสม่ำเสมอ และมีคำวิเศษณ์บอกเวลาที่สม่ำเสมอร่วมอยู่ด้วย
เช่น always (เสมอๆ),
often (บ่อยๆ), every
day (ทุกๆวัน) เป็นต้น.
8. ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น [1.1] ประโยคตามต้องใช้
[1.1] ด้วยเสมอ.
[1.2]
Present continuous tense เช่น
He is walking. เขากำลังเดิน.
1. ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูด(ใช้ now ร่วมด้วยก็ได้ โดยใส่ไว้ต้น ประโยค, หลังกริยา
หรือสุดประโยคก็ ได้).
2. ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในระยะเวลาอันยาวนาน เช่น ในวันนี้ ,ในปีนี้
.
3. ใช้กับเหตุการณ์ที่ผู้พูดมั่นใจว่าจะต้องเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
เช่น เร็วๆนี้, พรุ่งนี้.
*หมายเหตุ
กริยาที่ทำนานไม่ได้ เช่น รัก ,เข้าใจ, รู้, ชอบ จะนำมาแต่งใน Tense นี้ไม่ได้.
[1.3] Present perfect tense เช่น He
has walk เขาได้เดินแล้ว.
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต และต่อเนื่องมาจนถึง ปัจจุบัน
และจะมีคำว่า Since (ตั้งแต่) และ for
(เป็นเวลา) มาใช้ร่วมด้วยเสมอ.
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยทำมาแล้วในอดีต (จะกี่ครั้งก็ได้ หรือจะทำอีกใน
ปัจจุบัน หรือจะทำในอนาคต ก็ได้)และจะมีคำ ว่า ever (เคย) , never (ไม่เคย) มาใช้ร่วมด้วย.
3. ใช้กับเหตุการณ์ที่จบลงแล้วแต่ผู้พูดยังประทับใจอยู่ (ถ้าไม่ประทับใจก็ใช้
Tense
4. ใช้กับ เหตุการที่เพิ่งจบไปแล้วไม่นาน(ไม่ได้ประทับใจอยู่)
ซึ่งจะมีคำเหล่านี้มาใช้ร่วมด้วยเสมอ คือ Just (เพิ่งจะ), already (เรียบร้อยแล้ว),
yet (ยัง), finally (ในที่สุด)
เป็นต้น.
[1.4] Present
perfect continuous tense เช่น
He has been walking . เขาได้กำลังเดินแล้ว.
* มีหลักการใช้เหมือน [1.3] ทุกประการ
เพียงแต่ว่าเน้นว่าจะทำต่อไปในอนาคตด้วย ซึ่ง
[1.3] นั้นไม่เน้นว่าได้กระทำอย่างต่อเนื่องหรือไม่
ส่วน [1.4] นี้เน้นว่ากระทำมาอย่างต่อเนื่องและจะกระทำต่อไปในอนาคตอีกด้วย.
[2.1] Past simple tense เช่น
He walked. เขาเดิน แล้ว.
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงแล้วในอดีต มิได้ต่อเนื่องมาถึงขณะ ที่พูด และมักมีคำต่อไปนี้มาร่วมด้วยเสมอในประโยค
เช่น Yesterday, year เป็นต้น.
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่ทำเป็นประจำในอดีตที่ผ่านมาในครั้งนั้นๆ
ซึ่งต้องมีคำวิเศษณ์บอกความถี่ (เช่น Always, every day ) กับคำวิเศษณ์ บอกเวลา (เช่น yesterday, last
month ) 2 อย่างมาร่วมอยู่ด้วยเสมอ.
3. ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต แต่ปัจจุบันไม่ได้เกิด อยู่ หรือไม่ได้เป็นดั่งในอดีตนั้นแล้ว
ซึ่งจะมีคำว่า ago นี้ร่วมอยู่ด้วย.
4.
ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น [2.1] ประโยคคล้อยตามก็ต้อง
เป็น [2.1] ด้วย.
[2.2] Past continuous tense
เช่น He was walking . เขากำลังเดินแล้ว
1.
ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน
{ 2.2 นี้ไม่นิยมใช้ตามลำพัง - ถ้าเกิดก่อนใช้
2.2 - ถ้าเกิดทีหลังใช้ 2.1}.
2.
ใช้กับเหตุการณ์ที่
ไดกระทำติดต่อกันตลอดเวลาที่ได้ระบุไว้ในประโยค ซึ่งจะมีคำบอกเวลาร่วมอยู่ด้วยในประโยค
เช่น all day yesterday etc.
3.
ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่กำลังทำในเวลาเดียวกัน(ใช้เฉพาะกริยาที่ทำได้นานเท่านั้น
หากเป็นกริยาที่ทำนานไม่ได้ก็ใช้หลักข้อ 1 ) ถ้าแต่งด้วย
2.1 กับ 2.2 จะดูจืดชืดเช่น
He was cleaning the house while I was
cooking breakfast.
[2.3] Past perfect tense
เช่น He had walk. เขาได้เดินแล้ว.
1. ใช้กับ เหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต
มีหลักการใช้ดังนี้.
เกิดก่อนใช้
2.3 เกิดทีหลังใช้ 2.1.
2.
ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำอันเดียวก็ได้ในอดีต แต่ต้องระบุชั่วโมงและวันให้แน่ชัดไว้ในทุกประโยคด้วยทุกครั้ง
เช่น She had breakfast
at eight o’ clock yesterday.
[2.4] past perfect continuous
tense เช่น He
had been walking.
มีหลักการใช้เหมือนกับ 2.3 ทุกกรณี
เพียงแต่ tense นี้ ต้องการย้ำถึงความต่อเนื่องของการกระทำที่ 1 ว่าได้กระทำต่อเนื่องไปจนถึงการกระทำที่
2 โดยมิได้หยุด เช่น
When we arrive at the meeting , the
lecturer had been speaking for an
hour . เมื่อพวกเราไปถึงที่ ประชุม ผู้บรรยายได้พูดมาแล้ว เป็นเวลา 1 ชั่วโมง.
[3.1]
Future simple tense เช่น
He will walk. เขาจะเดิน.
ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะมีคำว่า
tomorrow, to night, next week, next
month เป็นต้น มาร่วมอยู่ด้วย.
* Shall ใช้กับ
I we.
Will ใช้กับบุรุษที่ 2 และนามทั่วๆไป.
Will, shall จะใช้สลับกันในกรณีที่จะให้คำมั่นสัญญา,
ข่มขู่บังคับ, ตกลงใจแน่วแน่.
Will, shall ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือจงใจก็ได้.
Be going to (จะ) ใช้กับความจงใจของมนุษย์
เท่านั้น ห้ามใช้กับเหตุการณ์ของธรรมชาติและนิยมใช้ใน ประโยคเงื่อนไข.
[3.2] Future
continuous tense เช่น
He will be walking. เขากำลังจะ
เดิน.
1.
ใช้ในการบอกกล่าวว่าในอนาคตนั้นกำลังทำอะไรอยู่
(ต้องกำหนดเวลาแน่นอน ด้วยเสมอ).
2.
ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต
มีกลักการใช้ดังนี้.
- เกิดก่อนใช้
3.2 S + will be,
shall be + Verb 1 ing.
- เกิดทีหลังใช้
1.1 S + Verb 1 .
[3.3] Future prefect tens
เช่น He will walked. เขาจะได้เดินแล้ว.
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่จะ เกิดขึ้นหรือสำเร็จลงในเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต
โดยจะมีคำว่า by นำหน้ากลุ่มคำที่บอกเวลา
ด้วย เช่น by tomorrow
, by next week เป็น ต้น.
2. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต
มีหลักดังนี้.
- เกิดก่อนใช้
3.3 S + will, shall +
have + Verb 3.
-
เกิด ที่หลังใช้ 1.1 S
+ Verb 1 .
[3.4] Future prefect continuous tense เช่น He
will have been walking. เขาจะได้กำลัง เดินแล้ว.
ใช้เหมือน 3.3 ต่างกันเพียงแต่ว่า
3.4 นี้เน้นถึงการกระทำที่ 1 ได้ทำต่อเนื่องมาจนถึงการกระทำที่ 2 และจะกระทำต่อไปในอนาคต
อีกด้วย.
* Tense นี้ไม่ค่อยนิยมใช้บ่อย นัก โดยเฉพาะกริยาที่ทำนาน ไม่ได้ อย่านำมาแต่งใน Tense นี้เด็ดขาด
การใช้ Can และ May
Can และ May ใช้แตกต่างกันอย่างไร?”
สองคำนี้เป็นอีกหนึ่งคู่ของคำศัพท์ที่มีคนสับสนและใช้ไม่ถูกต้องบ่อยครั้งหากเราต้องการสรุปหลักการใช้จะได้ดังนี้
ทีจริงแล้วเป็นคำที่แม่ชาวอเมริกันมักจะต้อง
correct ลูกๆในพูดให้ถูกหลักเสมอยกตัวอย่างคำพูดที่เด็กเล็กมักจะขอแม่เช่น
“Can I have some
milk, please?”
ประโยคนี้จะไม่ถูกหลักไวยกรณ์เนื่องจากเป็นการขอร้องไม่ใช่ความสามารถดังนั้นแม่อาจจะตอบกลับเล่นๆ
เพื่อสอนว่า
“Yes, you can - but
you may not!”
ซึ่งหมายความว่าลูกสามารถที่จะกินนมได้แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้กินนะครับ
(จนกว่าจะใช้ภาษาได้ถูกต้องกระมั่งครับ 555) - คุณแม่ใจร้ายนะครับ
เพื่อให้เราสามารถใช้คำดังกล่าวได้ถูกต้องและไม่ถูกคุณแม่ใจร้ายบ่นเอาผมจึงขอเสนอ
guideline และแบบทดสอบให้ทำดังนี้
Guideline
·
Can ใช้แสดงถึง ability (ความสามารถ) ในการทำบางอย่าง
·
ในขณะที่ May จะใช้เพื่อขออนุญาต หรือเพื่อแสดงถึงความน่าจะเป็น
คือใช้เหมือนกับคำว่า might
คือใช้เหมือนกับคำว่า might
ดังนั้นเรามาทดสอบตัวเราดูกันนะครับ